เศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศฟิลิปปินส์ได้รับการเติบโตแบบเรขาคณิตในช่วงสิบปีที่ผ่านมา โดยทำให้เกิดจากการยอมรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต สมาร์ทโฟน และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีอย่างแพร่หลาย ซึ่งเมื่อคนฟิลิปปินที่มากขึ้นยอมรับแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการค้า บันเทิง และการสื่อสาร รัฐบาลจะพบกับทั้งความท้าทาย และโอกาสในการนำนโยบายการเสียภาษีที่มีประสิทธิภาพในกลุ่มอุตสาหกรรมเติบโตนี้
**ผลกระทบจากการเติบโตในดิจิทัล**
ประเทศฟิลิปปินส์มีประชากรที่เยาว์และช่างเทคโนโลยี โดยมีอายุเฉลี่ยประมาณ 25 ปี กลุ่มคนนี้รวดเร็วในการยอมรับสิ่งที่เป็นดิจิทัล นำไปสู่ส่วนต่างๆ เช่น ภาคธุรกิจอีคอมเมิรซื่อมั่น บริการออนไลน์ที่กำลังพัฒนาอย่าง pro และการมีอำนาจในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย จากการสร้างสรรค์มหาศาลของทิวามส่วนอินเทอร์เน็ตที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ธุรกิจทั้งในและนอกประเทศก็มีความกระตือรือร้นในการสำรวจโอกาสในประเทศ
ในปี 2020 การระบาดของโรคโควิด-19 ได้ผลักดันขบวนการเปลี่ยนรูปแบบไปสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลแบบเร่งรีบ ซึ่งก่อให้เกิดการช้อปปิ้งออนไลน์ การทำงานระยะไกล เรียนออนไลน์และเศรษฐกิจแห่งยุคดิจิทัลเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวัน
**ความท้าทายในการเสียภาษีในเศรษฐกิจดิจิทัล**
ลักษณะของเศรษฐกิจดิจิทัลที่รวดเร็วและไดนามิก มีปัญหาในการเสียภาษีดังนี้
1. **ความซับซ้อนและความกำกวม**: การกำหนดสินค้าและบริการดิจิทัลอาจซับซ้อน กฎหมายภาษีเดิมอาจจะไม่กล่าวถึงการทำธุรกรรมดิจิทัลอย่างชัดเจน เช่น ซอฟต์แวร์เป็นบริการ (SaaS) โฆษณาดิจิทัล และการสตรีมมิงออนไลน์
2. **ปัญหาด้านเขตแขนง**: ธุรกิจดิจิทัลมักทำงานทั้งระหว่างชาติ ทำให้ยากที่จะกำหนดว่าภาษีควรเรียกเก็บที่ใด และวิธีการแบ่งกำไรในแขนง นี้สามารถนำไปสู่ข้อกังขาจากเรื่องฐานภาษีที่ถูกไล่หายและฐานฐานกำไร (BEPS)
3. **ปฏิบัติและการบังคับการบัการ**: การให้การปฏิบัติตามกฎหมายภาษีในภาคดิจิทัลสามารถต้องการความท้าทาย ธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเล็ก ๆ และผู้ขายไม่เป็นทางการบนแพลตฟอร์มโซเชียลอาจจะไม่ทราบถึงหน้าที่ภาษีของพวกเขา หรือขาดทุนในการปฏิบัติตามอย่างมีประสิทธิภาพ
4. **ขาดโครงสร้างพื้นฐาน**: โครงสร้างภาษีที่มีอยู่อาจไม่พร้อมที่จะจัดการกับสบาดและลักษณะของการทำธุรกรรมดิจิทัล การอัปเกรดระบบสำหรับการบริหารจัดการภาษีดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญ แต่ต้องการการลงทุนอย่างสำคัญ
**โอกาสสำหรับการปฏิสานระบบภาษี**
แม้ว่าจะมีความท้าทายเช่นนี้ ยังมีโอกาสสำหรับการปฏิสานระบบภาษีในเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศฟิลิปปินส์อย่างชัดเจน มีดังนี้
1. **ขยายฐานภาษี**: โดยการเสียภาษีการทำธุรกรรมดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ รัฐบาลสามารถขยายฐานภาษีเพื่อให้ทุกส่วนมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมในรายได้ส่วนชาติ ซึ่งรวมถึงการใช้ VAT ในการให้บริการดิจิทัล ซึ่งรัฐบาลได้เริ่มมองหาวิธีการ
2. **การร่วมมือระหว่างประเทศ**: การติดต่อกับองค์การระหว่างประเทศ เช่น อีโอซีดี เพื่อพัฒนามาตรฐานภาษีโลกที่สมเหตุสมผลสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลสามารถช่วยแก้ปัญหาการเสียภาษีระหว่างชาติ การนำมาตรฐานที่ดีที่สุดจากระดับนานาชาติยังสามารถเสริมสร้างระบบภาษีของประเทศฟิลิปปินส์
3. **การทำโมเดอร์นิทซิ่งของระบบภาษี**: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและเทคโนโลยีสำหรับการบริหารจัดการภาษีสามารถเพิ่มความเรียบง่ายในปฏิบัติตามและการบริหารจัดการ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ที่รวมระบบลงทะเบียนภาษี การกรอกภายใน และการชำระเงินที่ใช้งานง่ายและเข้าถึงได้
4. **การสอนความรู้ให้สาธารณะ**: การเสริมความตั้งใจของการเสียภาษีดิจิทัลในธุรกิจและผู้บริโภคสำคัญมาก การให้คำแนะนำที่ชัดเจน การสนับสนุน และการฝึกอบรมสามารถช่วยให้มั่นใจว่าเกินว่า และสถาบันเป็นสิริในระบบภาษี
5. **สร้างกําลังการลงทุน**: นโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่องในเรื่องภาษีการทำธุรกรรมดิจิทัลสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยขุนนํํงในภาคธุรกิจดิจิทัล ซึ่งจะเร่งเสริมการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจและนวัตกรรม
**สรุป**
เศรษฐกิจดิจิทัลมีศักยภาพมากให้กับประเทศฟิลิปปินส์ แต่มันก็ต้องการนโยบายการเสียภาษีที่พิถีพิถันและเชิดชู ในขณะที่ความท้าทายยังมีคุณสมบัติที่จะเป็นการปฏิบัติภาษีเบี้ยรวมที่สามารถนำไปสู่ระบบภาษีที่สมบูรณ์และเป็นโรงหนีไปสู่การให้การพัฒนาระบบที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงดิจิทัลของประเทศ โดยการแก้ไขความขั้วข้องและการใช้สมุดธรรมระหว่างชาติ ประเทศฟิลิปปินส์สามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างการเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างยั่งยืน
แน่ใจนะ! นี่คือลิงก์ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการเสียภาษีในเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศฟิลิปปินส์:
ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง: